
ความสำเร็จของชีวิต กองผ่านสิ่งต่างๆ มาเป็นอันมาก แต่ละคนต้องแสวงหาแนวทางในการดำเนินชีวิตของตัวเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ เรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลว รวมถึงการสร้างตัวสร้างฐานะตามแนวทางความเชื่อที่ได้เรียนรู้มาว่าที่ใครสักคนจะเดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าความสำเร็จของชีวิตได้นั้น แน่นอนว่า คนๆ นั้นจะต้ เมื่อตอนที่เราอ่อนด้อยประสบการณ์ เราเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก และเราก็แสวงหาหนทางต่างๆ อย่างไร้ทิศทาง ไม่ชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต เราเคยพบกับความมืดบอดของความหวัง เราต่อสู้กับความเหงา ความหม่นหมอง และความแห้งแล้ง เราหลงทาง หกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เดินต่อไป เส้นทางที่เราเดินนั้นมันแสนยาวไกล บางครั้งเราคิดว่ามันช่างยาวนานเสียเหลือเกินกว่าจะมายืนอยู่ที่จุดนี้ได้
สมมติฐานของความสาเร็จ
เรามักตั้งสมมติฐานของคำว่าความสาเร็จส่วนตัวไว้ โดยใช้อัตตาของตนเองเป็นตัวชี้วัด การที่จะไปให้ถึงความสาเร็จตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ตามอัตตาตนเองนั้น แต่ละคนคงต้องแสวงหาวิธีการหรือเส้นทางของตนเอง ซึ่งแน่ละการเดินทางไปตามเส้นทางที่ได้วางเอาไว้นั้น มันก็จะต้องผ่าฟันอุปสรรคนานา เส้นทางที่แต่ละคนเดินไปนั้นจะถูกต้องหรือชอบธรรมหรือถูกใจ สังคมนั้นจะเป็นผู้ตีค่าออกมา แต่ละคนคงมีความคิดต่างๆ กันไป การกำหนดวิธีการดาเนินชีวิตนั้นก็ขึ้นอยู่กับมาตรฐานด้านจิตใจของแต่ละคน บางคนอาจเห็นว่าการใช้วิธีที่สกปรก การเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไปสู่ความสาเร็จนั้นเป็นวิธีที่ถูกใจถูกจริตเขา บางคนเห็นว่าการคดโกงต่างๆนาๆ
นั้นไม่ใช่สิ่งผิด การให้หรือรับสินบน การคอรัปชั่น การใช้อิทธิพลที่คิดเอาเองว่าเป็นค่านิยมที่เป็นที่ยอมรับได้ การทำความผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ โดยคิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครจับได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหนมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่ว่าการกระทำเหล่านี้กลับกลายที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคมอย่างน้อยก็ในสังคมกลุ่มหนึ่งที่ถูกความโลภ ความโกธรและความหลงครอบงำอยู่ ความรู้สึกแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมในสังคมของคนกลุ่มนั้น
ความถูกต้องคืออะไร
เราจะเอาอะไรมาวัดว่าวิธีการเช่นไรเป็นวิธีการที่ถูกต้อง กฎเกณฑ์ที่สังคมวางไว้หรือการที่สังคมมองว่าไม่เห็นผิดตรงไหน เราน่าจะมีระบบหรือวิธีการคิดที่เป็นบรรทัดฐานทางนามธรรมที่คำนึงถึงความถูกต้องเป็นแนวทาง และให้ความสาคัญกับการนำบรรทัดฐานนี้ไปใช้วิเคราะห์วิธีการและวิธีคิดของแต่ละคน
แต่พื้นฐานของจิตใจของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แน่นอนอคติที่เอนเอียงไปตามอัตตาของตน ย่อมเป็นสิ่งที่วัดความถูกต้องและประมาณค่าความสำเร็จของตนเอง แต่นั่นเป็นความรู้สึกเชิงปัจเจกคือความรู้สึกเฉพาะตัวหรือตัดสินด้วยตัวเอง การตัดสินวิธีนี้ก็ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือบุคคลนั้นสามารถวิเคราะห์ตัวเองได้และเขาสามารถที่พัฒนาวิธีการคิดและวิธีการวิเคราะห์ตามประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มากขึ้น
ดังนั้นการตัดสินตนเองตามแนวทางด้านปัจเจกจึงขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางด้านจิตใจของแต่ละคน การศึกษาและสภาวะพื้นฐานของชีวิต การได้รับการเลี้ยงดูและสอนสั่งจากครอบครัว การเติบโตและเรียนรู้มาในสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มีค่านิยมแบบต่างๆ
ย่อมมีผลต่อวิธีการคิดของคนแต่ละคนอย่างแน่นอน แต่ทังนี้ก็ยังมีข้อยกเว้นโดยคนๆนั้นมีสำนึกที่จะพัฒนาจิตใจของตนเองอยู่แล้วไม่ว่าจะอยู่หรือเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ในการพัฒนาจิตใจตนเองนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนาระดับจิตวิญญาณของแต่ละคนด้วย บ่อยครั้งที่บุคคลที่มาจากระดับต่ำทางสังคมหรือมีพื้นฐานทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมต่ำ ก็สามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาให้มีจิตใจที่สูงเพียงพอที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินการกระทาของตนเองด้วยวิธีคิดที่เป็นสัมมาทิฐิได้
นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีและแสดงให้เห็นพัฒนาการทางด้านจิตใจของบุคคลนั้น แต่ถ้าบุคคลนั้นยังมีจิตใจที่มืดมัวอยู่ด้วยมิจฉาทิฐิที่อยู่ภายใน เขาก็ย่อมต้องคิดเข้าข้างตนเองและสรุปเอาเองว่าวิธีการสกปรกที่จะให้ได้มาถึงความสาเร็จของเขาไม่ใช่สิ่งผิด
จะมีประโยชน์อะไรที่จะต้องคำนึงถึงความถูกต้องในเมื่อค่านิยมของสังคมบังคับให้แก่งแย่งแข่งขัน คนที่ไม่ยอมแก่งแย่งแข่งขันกลายเป็นคนที่ถูกตีค่าจากสังคมว่าเป็นคนล้มเหลว ถ้าสังคมนั้นจะวัดค่าความสาเร็จจากของสาเร็จรูปเหมือนกล่องพลาสติกบรรจุอาหาร
เช่น นักการเมืองที่เลว ซื้อเสียง คอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่สร้างสมความร่ำรวยแล้วบอกตัวเองว่าตนเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ เพราะผ่านการเข้ามาสู่อำนาจหน้าที่ตามระบบแต่วิธีการเบื้องลึกนั้นแน่ละเขาไม่เปิดเผยความจริงแน่ และยังใช้เอกสิทธิ์ที่ตนมีอยู่ชี้นำผู้อื่นให้เห็นดีงามด้วย
ด้วยวิสัยที่ช่ำชองประสบการณ์ เขาจึงสามารถสร้างภาพกล่องบรรจุอาหารราคาแพง ที่มองจากภายนอกย่อมเป็นที่ชื่นชมถึงความสวยงาม แต่ความจริงอาจบรรจุอาหารบูดเน่าไว้ภายใน น่าสงสารสังคมที่ต้องถูกชี้นำจากการสร้างภาพลวงตาเหล่านี้
ความสาเร็จอยู่ที่คุณค่าที่สร้างสรรค์และจรรโลงโลกด้วยสัมมาทิฐิ
คนที่ประสบความสาเร็จที่สมควรได้รับการยกย่อง คือคนที่ทำงานสร้างชีวิตด้วยความขยันขันแข็งและความสุจริต แสวงหาความรอบรู้และดำเนินชีวิตในหนทางที่ถูกต้องดีงามและไม่เอาเปรียบสังคม ไม่ตักตวงผลประโยชน์จากจุดอ่อนของสังคม แต่ดาเนินชีวิตในลักษณะที่ช่วยเหลือเจือจานสังคม
พยายามช่วยลดช่องว่างหรือความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ยศฐาบบรดาศักดิ์ที่สูงและไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาคือสามารถนำความรู้ ความสามารถ แนวความคิดและประสบการณ์มาช่วยเหลือและชี้นำสังคมในหนทางที่ถูกต้องและไม่ตักตวงผลประโยชน์จากสังคม พร้อมที่จะเสียสละถ้าสิ่งนั้นที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว รู้จักแบ่งปันและกระจายโอกาสให้กับคนอื่นในสังคมอย่างมีคุณธรรม
สิ่งนี้จึงจะเป็นความสำเร็จที่สร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคมของเรา การให้โอกาสแก่ความดีและความมีคุณธรรมในการเป็นเครื่องชี้นำในการพัฒนาตนเองและสังคมแทนที่จะใช้ผลประโยชน์มาเป็นเครื่องชี้วัดหนทางความสาเร็จ จึงเป็นสิ่งที่เราหวังจะได้เห็นและการดาเนินชีวิตที่มีคุณภาพและคุณธรรมแบบนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติและสังคมของเราเข้มแข็งและมีคุณภาพต่อไป