
พรวิเศษ ครอบครัวนับเป็นสถาบันแรกที่เด็กทุกคนสมควรที่จะได้รับ และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ๆ ก็คือครอบครัวต้องเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง กล่าวคือต้องสามารถให้ความอบอุ่น ความเกื้อกูลต่อกัน และความรัก หากไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้แล้วครอบครัวที่ว่าก็ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง แต่เป็นเพียงกลุ่มสังคมกลุ่มหนึ่งที่มีคนหลายคนมาอยู่รวมกันเท่านั้น
การมาอยู่ร่วมกันของมนุษย์นั้นจำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่เสมอ ทำให้คนเรามักจะต้องติดต่อพูดคุยซึ่งแน่นอนว่าคนเรานั้นมีความคิดความเข้าใจที่แตกต่างกันออกไปเสมอ ย่อมนำมาซึ่งข้อตกลงหรือข้อขัดแย้งได้อยู่ตลอด แต่คำว่าครอบครัวเราต้องทำมันให้ดีกว่านั้นอย่างน้อยก็ให้ครอบครัวได้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยของสมาชิก
หรือที่เรียกว่า Safe Zone ที่พอหลังเรียนเสร็จกลับมาหาครอบครัวก็สบายใจ หลังเลิกงานเหนื่อย ๆ กลับมาหาครอบครัวก็สบายใจอะไรทำนองนั้น แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวมากมายที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เนื่องจากพวกเขาขาดความเข้าใจในตัวบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างสิ้นเชิง การที่ครอบครัวจะเป็นครอบครัวได้ไม่ใช่หน้าที่
ของพ่อและแม่เพียงเท่านั้น แต่ความจริงคือควรจะต้องเป็นหน้าที่ของคนทุกคนร่วมมือร่วมแรงกันสมัครสมานสามัคคีมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน นี่อาจจะเป็นครอบครัวในอุดมคติของใครหลายคนรวมถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ได้ออกมาพูดหน้าห้องเรียนอย่างเศร้าสร้อยเมื่อต้องรู้ว่าครูให้มาพูดเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองให้เพื่อน ๆ ฟัง
เพราะแท้จริงแล้วปมในใจของเด็กหญิงก็คือปมในครอบครัวนี่แหละ เธอชื่อ “ต้นเตย” เด็กหญิงต้องสูญเสียแม่ของตนเองไปในอุบัติเหตุที่ครั้งนั้นพ่อของเธอได้ดื่มจนเมาแล้วไม่ฟังคำเตือนของแม่ เขาใช้นิสัยมุทะลุของตนเองดึงดันที่จะขับรถกลับบ้านทั้ง ๆ ที่สภาพของตนเองนั้นดูไม่ได้ ตอนนั้นรถที่พ่อขับไปพลิกคว่ำจนไฟลุกท่วม
ทำให้ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัสแต่มีเพียงพ่อของเธอเท่านั้นที่รอดมาได้ แต่ก็น่าแปลกที่พ่อของเธอไม่ได้มีความคิดที่จะเลิกเหล้าเลยแม้แต่น้อยถึงมันจะเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญเสียของคนที่เขารักก็ตาม ทันทีที่ต้นเตยรู้ว่าแม่ของเธอจะจากไปและไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เด็กสาวทำได้เพียงแต่ร้องไห้อย่างหนักทุกวัน ไม่กินข้าวกินปลา
ไม่ยอมพูดกับผู้เป็นพ่อ จากวันนั้นเธอก็มองพ่อของเธอเปลี่ยนไปเธอฝังใจเจ็บมาโดยตลอดว่า พรวิเศษ นิยาย พ่อเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องสูญเสียแม่ไป ฝ่ายพ่อนั้นทำใจไม่นานก็แต่งงานใหม่กับสาวเจ้าของร้านทองชื่อดังโดยเธอเองก็มีลูกติดแล้ว 1 คนเป็นผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับต้นเตยแต่ช่วงแรกเด็กสาวก็ไม่พอใจอย่างมากที่พ่อทำแบบนั้น
เธอโต้เถียงการตัดสินใจของพ่อทุกวัน จนวันหนึ่งขณะที่เธอพูดคุยกับเขาเรื่องให้เขาเปลี่ยนการตัดสินใจเขาเขาก็ไม่พอใจและตบหน้าเธอเข้าอย่างจัง ซึ่งตอนนั้นเธออายุได้ 11 ปีแล้ว ความรู้สึกของเธอในตอนนี้เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายได้ถูกสะบั้นขาดงไปแล้ว เยื่อใยความรักทั้งหมดไม่มีอีกต่อไป เธอมองว่าบ้านก็คือสิ่งก่อสร้างหนึ่ง
ที่ใช้คุ้มแดดคุ้มฝนเท่านั้นไม่ได้มองถึงครอบครัวที่แสนอบอุ่นอีกต่อไป ถึงแบบนั้นแม่เลี้ยงและพี่ชายก็รู้สึกเป็นห่วงเธออย่างใจจริงและมองว่าต้นเตยเป็นลูกของเธอเอง แต่เธอรู้ว่าถ้าเข้าไปคุยตอนนี้คงมีแต่จะแย่ลงเท่านั้นจึงตัดสินใจรอให้เวลาผ่านไปแล้วต้นเตยใจเย็นขึ้นก่อนจึงค่อยเข้าไปคุยเปิดอกกับเธออีกครั้ง
พี่ชายคนใหม่ของต้นเตยชื่อว่า “ชาลี” เขาเป็นเด็กที่อบอุ่น ใจดี และมีเหตุผลเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ด้วยเหตุที่ว่าเขาก็สูญเสียพ่อไปเหมือนกันในอดีตทำให้เขาเข้าใจหัวอกของเด็กสาวดี ชาลีจึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับเธอ “ต้นเตย ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” “ไม่ค่ะ…หนูมีการบ้านต้องทำ” ชาลียิ้มทันทีที่ได้ฟังคำตอบของคนตรงหน้า
เพราะเขารู้สึกว่าเธอช่างคาดเดายากเหมือนกัน “เดินไม่นานหรอก เดี๋ยวกลับมาพี่สอนการบ้านเธอเอง รับรองเสร็จไวขึ้นเป็นสองเท่า ตกลงนะ” เด็กชายไม่ฟังคำตอบของต้นเตยอีกต่อไป เขารีบคว้าแขนเล็กเรียวของเธอออกไปข้างนอกบ้านในทันที ตอนนั้นท้องฟ้ากำลังเป็นสีส้มอ่อน ๆ ผสมกับสีชมพูระเรื่อดูแล้วคล้ายภาพวาดแสนสวย
ลมอ่อน ๆ ที่โชยเอากลิ่นหอมของดอกไม้มานั้นทำให้ต้นเตยรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และเธอก็เริ่มคิดในใจว่าพี่ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอเคยคิดเอาไว้ “ได้ออกมาเดินแบบนี้ รู้สึกดีใช่ไหม” ต้นเตยพยักหน้าเชิงตอบรับ “เดี๋ยวพี่พามาเดินทุกวันเลยดีไหม” ต้นเตยไม่ได้ตอบแต่ก็อมยิ้มดีใจ นั่นทำให้ชาลีรู้ว่ากำแพงในใจ
ของเด็กหญิงได้ค่อย ๆ ทลายลงแล้ว “รู้ไหมว่าพี่น่ะอยากมีน้องสาวมาตลอดเลย อยากพาเขาไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้” “งั้นอีกไม่นานพี่คงจะได้มี เพราะพ่อหนูกับแม่ของพี่ก็แต่งงานกันแล้ว” ชาลีส่ายหน้า “ไม่หรอก แม่พี่เขาทำหมันไปแล้วน่ะ มีน้องไม่ได้หรอก แต่ถึงจะมีได้ เธอก็ยังเป็นน้องสาวของบ้านเรานะ” “หนูไม่ใช่น้องของพี่สักหน่อย
เราไม่ได้มีพ่อแม่คนเดียวกัน” “ใครว่าล่ะ…เธอคือน้องสาว เธอคือครอบครัวนะรู้ไหม” เด็กชายพยามเข้าไปลูบหัวของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา แต่เด็กหญิงก็ขมวดคิ้วหนา ๆ ของเธอใส่ด้วยความโกรธ “หนูไม่เหลือใครแล้ว เพราะแม่ของหนูเองก็ตายไปแล้ว และพ่อก็เป็นคนทำ ถ้าพ่อไม่เอาแต่ดื่มเหล้าเรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
มันเป็นความผิดของพ่อคนเดียว!” ต้นเตยเริ่มพูดเรื่องราวในหัวของตนเองอย่างสุดเสียง เธอระบายมันออกมาจนหมด พร้อมกับที่หยดน้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมาชาลีเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเสียใจไปกับเธอด้วยเขาไม่อยากเห็นภาพตรงหน้าอีกจึงรีบคว้าตัวของเด็กหญิงเข้าไปกอดและปลอบโยนอย่างใจเย็น “พี่สัญญาว่าพี่จะทำหน้าที่
พี่ชายคนหนึ่งให้ดีที่สุด จะไม่ทิ้งเธอไม่ไหน เธอไม่ได้ตัวคนเดียวนะรู้ไหม” “จริงหรอ พี่จะทำแบบนั้นหรอ” “อื้ม…จะพยายามอย่างหนัก ขอเพียงเธอยอมเปิดใจให้ทุกคน ตกลงไหม” แววตาจริงจังของเขาทอประกายออกมาทำให้ต้นเตยสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขาเป็นอย่างมากจึงยอมรับเขาและแม่อย่างเต็มใจ ชาลีเห็นว่า
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงชวนต้นเตยกลับเข้าบ้านแต่ระหว่างทางพวกเขาก็เห็นว่าดาวได้กำลังตกจากฟ้าจึงหยุดและอธิษฐาน เด็กหญิงไม่ลังเลที่จะขอพรที่เธอเฝ้ารอมาโดยตลอด “ขอให้พ่อของหนูเลิกเหล้าได้ไหมคะ…ขอร้องเถอะค่ะ” และนั่นก็เป็นคำอธิษฐานหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจของด็กหญิงคนนี้มาโดยตลอด