
ภาษาอังกฤษ การวัดด้วยเกรดเป็นสิ่งที่การศึกษาไทยยังผิดพลาดมาก เพราะเป็นการวัดด้วยไม้บรรทัดอันเดียว แต่ต้องเก่งในนิยามของพวกเขา ไม่ใช่ในนิยามของฉัน ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ถูกทับถมด้วยเกรดเฉลี่ยมาเนิ่นนาน จนกระทั่งจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ย 2.50 ซึ่งยังโชคดีที่เกรดเฉลี่ยเท่านี้แต่ครอบครัวยังภาคภูมิใจ ทำให้มีความหวังในการดำเนินชีวิตแบบลดความกดดันไปได้อีกทาง การวัดด้วยเกรดเฉลี่ยจะไม่มีความหมายอีกเลย
ทำไมผู้เขียนถึงคิดเช่นนั้นล่ะ…ว่าเกรดเฉลี่ยถึงไม่มีความหมายต่อการวัดว่าใครอัจฉริยะกว่าใคร
ทุกคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน และการศึกษายังสร้างค่านิยมผิดพลาดในสังคมที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ตั้งแต่เด็กยันเข้ามหาวิทยาลัย ก็ยัง Input เรื่องเหล่านี้อยู่ในหัว การเติบโตจึงกลายเป็นสิ่งผิดพลาดในชีวิตอย่างเลวร้าย
ตัดมาที่ภาพกลุ่มคนที่เรียนเก่งๆ อาจจะเป็นข้อได้เปรียบตรงที่สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่สนุก เขาอาจจะลดความกดดันในวิชาบางตัว มีครอบครัวที่สนับสนุนพร้อม มีเพื่อนที่พากันเฮฮา Hang Out ตามประสา แต่ใช่ว่าเขาจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่เขาเสียเปรียบมากที่สุดนั่นก็คือ Hard Skill ในตัวเขากลับไม่มีเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้า
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และภาษาที่สาม เขากลับสื่อสารอะไรไม่ได้เลย สื่อสารไม่ได้แม้กระทั่งพูดสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ ทั้งที่เขาได้ A ในวิชานี้อยู่ใน Transcript อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจในคนที่เรียนได้เกียรตินิยม
อีกกรณีหนึ่ง ผู้เขียนเคยมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง เขาเรียนระดับปริญญาโท แต่เกรดตอนปริญญาตรีเกือบเหยียบ 4.00 จะว่าไปเหมือนเป็นคนที่น่าอิจฉา น่าคารวะคนหนึ่ง แต่ภาษาอังกฤษเขากลับแปลไม่ออกเลย งานวิจัยของเขาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเขากลับถอยหนีเนื่องจากแปลไม่ออก ฟังไปก็คล้ายๆ เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่ามันตลกไม่ออกเอาเสียเลย เพราะคนที่จบปริญญาตรีในปัจจุบันกลับมีปัญหาที่ภาษาจนน่าตกใจ เขาจบออกไปเหมือนคนพร้อมทำงาน พร้อมใช้ทักษะที่จบมาอย่างเต็มที่ กลายเป็นจบออกมาแต่สื่อสารอะไรไม่ได้เลย แม้แต่อ่านข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษกับสื่อสารในชีวิตประจำวัน เขากลับใช้มันไม่ได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำไปจากความเก่งในเกรดเฉลี่ยของเขา
การเรียนภาษาอังกฤษไม่จำเป็นว่าจะต้องเรียนสายศิลปศาสตร์ หรือสาขาด้านภาษาเท่านั้นถึงจะพูดได้ ในสาย วิทยาศาสตร์ หรือในสายที่เป็นสาขาเฉพาะทางก็เช่นกันก็ควรให้ความสำคัญการใช้ภาษา ถึงจะไม่ถึงขั้น Native Speaker แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นพูดหรือสื่อความหมายอะไรไม่ได้เลย เกรดที่ได้จึงไม่ต่างอะไรจากเรียนเพื่อคืนครูเท่านั้น
จึงเป็นสิ่งที่ควรตระหนักนอกจากจบออกไปแล้ว ควรมีทักษะชีวิตด้านภาษา เพราะภาษาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าได้เกรดเอแล้วจะพูดได้เสมอไป และไม่ได้บ่งบอกว่าจะมีความฉลาด ถ้าหากมีเกรดในวิชานี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องหันกลับมาใส่ใจเพิ่มขึ้นว่าทำไมเราถึงใช้ไม่ได้เลยทั้งที่เกรดเป็นเกียรตินิยมขนาดนี้แล้ว การเรียนมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งที่วัดอะไรได้ยากพอสมควร นอกจากนี้การเข้าหาอาจารย์ แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีที่ควรเข้าหา แต่ทั้งนี้อยู่ที่ว่าคุณจะทำได้ดีมากแค่ไหน การเข้าหาอาจารย์ใช่ว่าจะต้องเป็นศิษย์รัก และได้เกรดเอกันทุกคน ไม่มีอะไรการันตีได้เลย
นอกจากภาษาอังกฤษ ภาษาที่สามแล้ว การเอาตัวรอดในสังคมก็ควรให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าเกรดเฉลี่ยเลย แทบทุกมหาวิทยาลัยสอนให้เด็กเรียนเก่ง ให้ความเชื่อว่าเราจะได้งานดีๆ แต่ลืมไปว่าการเอาตัวรอดในสังคม ก็เป็นอีกทักษะในการใช้ชีวิตก่อนที่ตัวเองจะเรียนจบ เพราะคนที่จบใหม่จะเสียเปรียบในเรื่องเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทและผู้ประกอบการอยู่มาก โอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบเรื่องสวัสดิการ เงินเดือน และสิ่งที่ลูกจ้างควรจะได้รับ ในกลุ่มเด็กจบใหม่จะถูกมองว่าเหมือนไก่อ่อน ไม่โต้เถียงอะไร มหาวิทยาลัยกลับไม่ได้สอนสิ่งเหล่านั้นให้เด็กจบใหม่ การปรับตัวจึงกลายเป็นปัญหาที่เรื้อรังในอนาคต แล้วความเรียนเก่งจะไปมีความหมายอะไร ถ้าจบออกมาเพื่อไปถูกคนอื่นเอาเปรียบ
ถ้าหากช่วงสถานการณ์โควิด ทุกคนจะรู้แจ้งแก่ใจจริงๆ จะเห็นได้จากที่มีคนว่างงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และคนตกงานก็มีเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจชะงักลง ถดถอย ความตึงเครียดมีสูงขึ้นเป็นผลพวงจากเราไม่ได้เรียนรู้จากอดีต เพื่อแก้ไขให้ดีขึ้น รับมือให้ทันสถานการณ์ในอนาคต เราจะไม่เสียเปรียบไปกว่านี้เลย
จึงทำให้เรียนรู้ว่าโควิดเป็นได้ทั้งวิกฤตและโอกาสพร้อมๆ กัน และช่องว่างระหว่างคนที่เรียนเก่ง และคนที่เรียนไม่เก่งค่อยๆ แคบลงอย่างช้าๆ จึงทำให้เรามองเห็นอะไรที่ปรุโปร่งมากกว่าเดิม ทุกคนมีสิทธิ์ตกงานและมีสิทธิ์ที่จะอยู่รอดได้เช่นกันในสังคม ใครเอาตัวรอด ใครรักษาทีมงานได้ดีก่อนคนนั้นก็ถือว่ารอดแล้วในชีวิต แม้ว่าโควิดจะให้ความรุนแรง ความโหดร้ายในการดำเนินชีวิต เมื่อเราสามารถยืนหยัดได้บนความเสี่ยง เราก็เป็นคนเก่งมากอีกคน ที่ใช้ความเก่งในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุด ถ้ากลับไปย้อนตอบคำถามเดิม ในช่วงโควิดที่เสี่ยงขณะนี้ ความเก่งในใบเกรดเฉลี่ยสามารถวัดได้ไหม และช่วยคุณในด้านใดบ้างนอกจากความเป็นเกียรตินิยมกับการเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ได้เรียนในคณะดีๆ คิดว่าจำเป็นอยู่อีกไหมในตอนนี้ ในเมื่อเราแก้ไขในชีวิตจริงไม่ได้
การศึกษาคือทางออกของชีวิต แต่ถ้าการศึกษาสร้างขึ้นบนความเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ เราควรกลับมาทบทวนได้แล้วว่าถ้ายังปล่อยให้อยู่ในลูปต่อไปแบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในอนาคต และ Generation ต่อไปที่จะเติบโตบนโลกใบนี้ในช่วงเดียวกับที่เราเหยียบตรงนั้น การวัดด้วยเกรดเฉลี่ยจึงเป็นดาบสองคมดีๆ เพราะคนที่มุ่งแต่เกรดดีๆ แต่ไม่ได้มุ่งเรื่องการใช้ชีวิต เขาจะถูกตกเป็นเหยื่อได้เช่นกันไม่ว่าเหยื่อทางไหนก็ตาม
การจะวัดว่าใครเก่งไม่เก่ง ใช้ไม้บรรทัดอันเดียววัดตั้งแต่เด็กจนโต มันจะกลายเป็นเรื่องไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ถ้าได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมา รวมทั้งช่วงโควิด คุณได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้จากคำตอบของคุณ?