โรงเรียนบ้านหนองนกกะเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จังหวัดราชบุรี
วันที่ 29 กันยายน 2023 4:37 AM
b-school04
logo-cโรงเรียนบ้านหนองนกกะเรียน
หน้าหลัก » นานาสาระ » ภาษาอังกฤษ สำคัญการศึกษาของเรามากน้อยแค่ไหนและส่งผลดีกับตัวเราอย่างไร

ภาษาอังกฤษ สำคัญการศึกษาของเรามากน้อยแค่ไหนและส่งผลดีกับตัวเราอย่างไร

อัพเดทวันที่ 22 มกราคม 2021 เข้าดู 220 ครั้ง

ภาษาอังกฤษ จากคนเรียนเก่งไม่สามารถวัดด้วยเกรดอีกต่อไป

ภาษาอังกฤษ การวัดด้วยเกรดเป็นสิ่งที่การศึกษาไทยยังผิดพลาดมาก  เพราะเป็นการวัดด้วยไม้บรรทัดอันเดียว  แต่ต้องเก่งในนิยามของพวกเขา  ไม่ใช่ในนิยามของฉัน  ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ถูกทับถมด้วยเกรดเฉลี่ยมาเนิ่นนาน  จนกระทั่งจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ย  2.50  ซึ่งยังโชคดีที่เกรดเฉลี่ยเท่านี้แต่ครอบครัวยังภาคภูมิใจ  ทำให้มีความหวังในการดำเนินชีวิตแบบลดความกดดันไปได้อีกทาง  การวัดด้วยเกรดเฉลี่ยจะไม่มีความหมายอีกเลย

ทำไมผู้เขียนถึงคิดเช่นนั้นล่ะ…ว่าเกรดเฉลี่ยถึงไม่มีความหมายต่อการวัดว่าใครอัจฉริยะกว่าใคร

ทุกคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน  และการศึกษายังสร้างค่านิยมผิดพลาดในสังคมที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ตั้งแต่เด็กยันเข้ามหาวิทยาลัย  ก็ยัง Input เรื่องเหล่านี้อยู่ในหัว  การเติบโตจึงกลายเป็นสิ่งผิดพลาดในชีวิตอย่างเลวร้าย

ตัดมาที่ภาพกลุ่มคนที่เรียนเก่งๆ  อาจจะเป็นข้อได้เปรียบตรงที่สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่สนุก  เขาอาจจะลดความกดดันในวิชาบางตัว  มีครอบครัวที่สนับสนุนพร้อม  มีเพื่อนที่พากันเฮฮา  Hang  Out  ตามประสา  แต่ใช่ว่าเขาจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง  สิ่งที่เขาเสียเปรียบมากที่สุดนั่นก็คือ  Hard  Skill  ในตัวเขากลับไม่มีเลย  ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้า

โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ  และภาษาที่สาม  เขากลับสื่อสารอะไรไม่ได้เลย  สื่อสารไม่ได้แม้กระทั่งพูดสื่อสารกับชาวต่างชาติได้  ทั้งที่เขาได้ A ในวิชานี้อยู่ใน  Transcript  อีกด้วย  จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจในคนที่เรียนได้เกียรตินิยม

อีกกรณีหนึ่ง  ผู้เขียนเคยมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง  เขาเรียนระดับปริญญาโท  แต่เกรดตอนปริญญาตรีเกือบเหยียบ 4.00 จะว่าไปเหมือนเป็นคนที่น่าอิจฉา  น่าคารวะคนหนึ่ง  แต่ภาษาอังกฤษเขากลับแปลไม่ออกเลย  งานวิจัยของเขาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเขากลับถอยหนีเนื่องจากแปลไม่ออก  ฟังไปก็คล้ายๆ  เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง  แต่ใครจะรู้ว่ามันตลกไม่ออกเอาเสียเลย  เพราะคนที่จบปริญญาตรีในปัจจุบันกลับมีปัญหาที่ภาษาจนน่าตกใจ  เขาจบออกไปเหมือนคนพร้อมทำงาน  พร้อมใช้ทักษะที่จบมาอย่างเต็มที่  กลายเป็นจบออกมาแต่สื่อสารอะไรไม่ได้เลย  แม้แต่อ่านข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษกับสื่อสารในชีวิตประจำวัน  เขากลับใช้มันไม่ได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำไปจากความเก่งในเกรดเฉลี่ยของเขา

ภาษาอังกฤษ

การเรียนภาษาอังกฤษไม่จำเป็นว่าจะต้องเรียนสายศิลปศาสตร์  หรือสาขาด้านภาษาเท่านั้นถึงจะพูดได้  ในสาย วิทยาศาสตร์  หรือในสายที่เป็นสาขาเฉพาะทางก็เช่นกันก็ควรให้ความสำคัญการใช้ภาษา  ถึงจะไม่ถึงขั้น Native Speaker แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นพูดหรือสื่อความหมายอะไรไม่ได้เลย  เกรดที่ได้จึงไม่ต่างอะไรจากเรียนเพื่อคืนครูเท่านั้น

จึงเป็นสิ่งที่ควรตระหนักนอกจากจบออกไปแล้ว  ควรมีทักษะชีวิตด้านภาษา  เพราะภาษาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าได้เกรดเอแล้วจะพูดได้เสมอไป  และไม่ได้บ่งบอกว่าจะมีความฉลาด  ถ้าหากมีเกรดในวิชานี้  จึงเป็นเรื่องที่ต้องหันกลับมาใส่ใจเพิ่มขึ้นว่าทำไมเราถึงใช้ไม่ได้เลยทั้งที่เกรดเป็นเกียรตินิยมขนาดนี้แล้ว  การเรียนมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งที่วัดอะไรได้ยากพอสมควร  นอกจากนี้การเข้าหาอาจารย์  แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีที่ควรเข้าหา  แต่ทั้งนี้อยู่ที่ว่าคุณจะทำได้ดีมากแค่ไหน  การเข้าหาอาจารย์ใช่ว่าจะต้องเป็นศิษย์รัก  และได้เกรดเอกันทุกคน  ไม่มีอะไรการันตีได้เลย

นอกจากภาษาอังกฤษ  ภาษาที่สามแล้ว  การเอาตัวรอดในสังคมก็ควรให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าเกรดเฉลี่ยเลย  แทบทุกมหาวิทยาลัยสอนให้เด็กเรียนเก่ง  ให้ความเชื่อว่าเราจะได้งานดีๆ  แต่ลืมไปว่าการเอาตัวรอดในสังคม  ก็เป็นอีกทักษะในการใช้ชีวิตก่อนที่ตัวเองจะเรียนจบ  เพราะคนที่จบใหม่จะเสียเปรียบในเรื่องเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทและผู้ประกอบการอยู่มาก  โอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบเรื่องสวัสดิการ  เงินเดือน  และสิ่งที่ลูกจ้างควรจะได้รับ  ในกลุ่มเด็กจบใหม่จะถูกมองว่าเหมือนไก่อ่อน  ไม่โต้เถียงอะไร  มหาวิทยาลัยกลับไม่ได้สอนสิ่งเหล่านั้นให้เด็กจบใหม่  การปรับตัวจึงกลายเป็นปัญหาที่เรื้อรังในอนาคต  แล้วความเรียนเก่งจะไปมีความหมายอะไร  ถ้าจบออกมาเพื่อไปถูกคนอื่นเอาเปรียบ

ถ้าหากช่วงสถานการณ์โควิด  ทุกคนจะรู้แจ้งแก่ใจจริงๆ  จะเห็นได้จากที่มีคนว่างงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  และคนตกงานก็มีเพิ่มขึ้น  ทำให้เศรษฐกิจชะงักลง  ถดถอย  ความตึงเครียดมีสูงขึ้นเป็นผลพวงจากเราไม่ได้เรียนรู้จากอดีต  เพื่อแก้ไขให้ดีขึ้น  รับมือให้ทันสถานการณ์ในอนาคต  เราจะไม่เสียเปรียบไปกว่านี้เลย

จึงทำให้เรียนรู้ว่าโควิดเป็นได้ทั้งวิกฤตและโอกาสพร้อมๆ  กัน  และช่องว่างระหว่างคนที่เรียนเก่ง  และคนที่เรียนไม่เก่งค่อยๆ แคบลงอย่างช้าๆ  จึงทำให้เรามองเห็นอะไรที่ปรุโปร่งมากกว่าเดิม  ทุกคนมีสิทธิ์ตกงานและมีสิทธิ์ที่จะอยู่รอดได้เช่นกันในสังคม  ใครเอาตัวรอด  ใครรักษาทีมงานได้ดีก่อนคนนั้นก็ถือว่ารอดแล้วในชีวิต  แม้ว่าโควิดจะให้ความรุนแรง  ความโหดร้ายในการดำเนินชีวิต  เมื่อเราสามารถยืนหยัดได้บนความเสี่ยง  เราก็เป็นคนเก่งมากอีกคน  ที่ใช้ความเก่งในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และประสิทธิผลมากที่สุด  ถ้ากลับไปย้อนตอบคำถามเดิม  ในช่วงโควิดที่เสี่ยงขณะนี้  ความเก่งในใบเกรดเฉลี่ยสามารถวัดได้ไหม  และช่วยคุณในด้านใดบ้างนอกจากความเป็นเกียรตินิยมกับการเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง  ได้เรียนในคณะดีๆ  คิดว่าจำเป็นอยู่อีกไหมในตอนนี้  ในเมื่อเราแก้ไขในชีวิตจริงไม่ได้

การศึกษาคือทางออกของชีวิต  แต่ถ้าการศึกษาสร้างขึ้นบนความเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้  เราควรกลับมาทบทวนได้แล้วว่าถ้ายังปล่อยให้อยู่ในลูปต่อไปแบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  มันจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในอนาคต  และ Generation ต่อไปที่จะเติบโตบนโลกใบนี้ในช่วงเดียวกับที่เราเหยียบตรงนั้น  การวัดด้วยเกรดเฉลี่ยจึงเป็นดาบสองคมดีๆ  เพราะคนที่มุ่งแต่เกรดดีๆ  แต่ไม่ได้มุ่งเรื่องการใช้ชีวิต  เขาจะถูกตกเป็นเหยื่อได้เช่นกันไม่ว่าเหยื่อทางไหนก็ตาม

การจะวัดว่าใครเก่งไม่เก่ง  ใช้ไม้บรรทัดอันเดียววัดตั้งแต่เด็กจนโต  มันจะกลายเป็นเรื่องไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง  ถ้าได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมา  รวมทั้งช่วงโควิด  คุณได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้จากคำตอบของคุณ?

 

นานาสาระ ล่าสุด