
สังคมผู้สูงอายุ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก ขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบกับปัญหาสังคมผู้สูงวัยทั้งในชนบทและในเมือง จากประมาณการในปี 2014 ประชากรญี่ปุ่น 33 เปอร์เซ็นต์มีอายุมากกว่า 60 ปี, 25.9 เปอร์เซ็นต์มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และ 12.5 เปอร์เซ็นต์มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในญี่ปุ่นคิดเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดโดยคาดว่าจะมีจำนวนถึงหนึ่งในสามภายในปี 2050
หลัง สงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น ช่วงเวลาที่มีภาวะเจริญพันธุ์ต่ำเป็นเวลานานส่งผลให้ประชากรสูงวัยในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมากอันเป็นผลมาจากอัตราการเจริญพันธุ์ทดแทนมีน้อยและคาดว่าชาวญี่ปุ่นจะมีอายุขัยที่สูงขึ้น ประชากรของญี่ปุ่นเริ่มลดลงในปี 2011
ในปี 2014 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127 ล้านคน ตัวเลขนี้คาดว่าจะลดลงเหลือ 107 ล้านคน ภายในปี 2040 และเป็น 97 ล้านคนภายในปี 2050 หากแนวโน้มทางอายุประชากรยังคงเป็นเช่นปัจจุบันต่อไป
ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มองว่าประเทศญี่ปุ่นมีความสะดวกสบายและทันสมัยส่งผลให้ไม่รู้สึกถึงวิกฤตประชากรที่เกิดขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นตอบสนองต่อความกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางประชากรอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและบริการสังคม โดยมีนโยบายเพื่อฟื้นฟูอัตราการเจริญพันธุ์และทำให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น
จำนวนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
ในปี 1950 ประชากรญี่ปุ่นที่อายุมากกว่า 65 ปีมีเพียง 4.9 เปอร์เซ็นต์ อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 11.7 เปอร์เซ็นต์ในปี 1990 จำนวนคนญี่ปุ่นที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นเกือบสี่เท่าในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาเป็น 33 ล้านคนในปี 2014 ซึ่งคิดเป็น 26 เปอร์เซ็นต์ของประชากรญี่ปุ่นทั้งหมด ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนเด็กอายุไม่เกิน 14 ปี ลดลงจาก 24.3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในปี 1975 เป็น 12.8 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2014 จำนวนผู้สูงอายุมีจำนวนมากกว่าเด็กในปี 1997 การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบประชากรของสังคมญี่ปุ่นที่เรียกว่าสังคมสูงอายุ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นกว่าในประเทศอื่น ๆ
จากการคาดการณ์จำนวนอัตราการเจริญพันธ์ของประชากรในปัจจุบัน ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรภายในปี 2060 และจำนวนประชากรทั้งหมดจะลดลงหนึ่งในสามจาก 128 ล้านคนในปี 2010 เหลือ 87 ล้านคนในปี 2060
นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tohoku ได้เริ่มทำการนับถอยหลังสู่การสูญพันธุ์ของชาติ การคาดการณ์นี้กระตุ้นให้นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะให้คำมั่นว่าจะหยุดการลดลงของประชากรอยู่ที่ 100 ล้านคนให้ได้
อายุขัยสูง
อายุขัยของคนญี่ปุ่นในปี 2016 คือ 85 ปี โดยผู้ชายมีอายุขัยอยู่คือ 81.7 ปีและผู้หญิงมีอายุไขอยู่ที่ 88.5 ปีผู้หญิง ประชากรโดยรวมของญี่ปุ่นกำลังหดตัวลงเนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำประชากรสูงอายุจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยต่างๆ เช่น โภชนาการที่ดีขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์และเภสัชวิทยาขั้นสูง ช่วยลดจำนวนของโรคภัยไข้เจ็บและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นทำให้ชาวญี่ปุ่นอายุยืนยาวขึ้น
สัดส่วนการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากประชากรสูงอายุของญี่ปุ่นใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลและไปพบแพทย์มากขึ้น ในปี 2011 ผู้ที่อายุ 75–79 ปีจำนวน 2.9 เปอร์เซ็นต์อยู่ในโรงพยาบาล และ 13.4% ไปพบแพทย์ทุกวัน
อายุขัยของคนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองที่อายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงอยู่ที่ 54 ปี และผู้ชายอยู่ที่ 50 ปี อันเป็นผลมาจากการพัฒนาด้านเภสัชการและโภชนาการ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 1950 การเพิ่มขึ้นของอายุขัยเป็นผลทำให้เป็นอัตราการเสียชีวิตต่ำจนถึงทศวรรษ 1980 แต่อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 10.1 ต่อ 1,000 คนในปี 2013 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1950
อัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ
จากเปอร์เซ็นต์การมีลูกของสตรีที่ไม่แต่งงานในบางประเทศในปี 1980 และ 2007 จะพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีเปอร์เซ็นของเด็กที่เกิดนอกสมรสต่ำกว่าในประเทศตะวันตกมาก
อัตราการเจริญพันธุ์ทั้งหมดของญี่ปุ่น (หมายถึงจำนวนบุตรที่เกิดกับผู้หญิงแต่ละคนในช่วงชีวิตของเธอ) ต่ำกว่าเกณฑ์ทดแทนที่ 2.1 ตั้งแต่ปี 1974 และแตะระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1.26 ในปี 2005
เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่หลากหลายมีส่วนทำให้การมีบุตรลดลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ได้แก่ การแต่งงานที่น้อยลง การศึกษาที่สูงขึ้น ครอบครัวที่อยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้น ความไม่สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตครอบครัว ผู้หญิงเข้ามาอยู่ในกลุ่มแรงงานเพิ่มขึ้น การลดลงของค่าจ้างและการจ้างงานตลอดชีวิต พร้อมกับช่องว่างค่าจ้างที่สูงสำหรับเพศ พื้นที่อยู่อาศัยขนาดเล็กและค่าเลี้ยงดูบุตรที่สูง
คนหนุ่มสาวจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเนื่องจากการขาดงานประจำ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานของญี่ปุ่นไม่ได้ทำงานประจำซึ่งรวมถึงงานพาร์ทไทม์และลูกจ้างชั่วคราวด้วย พนักงานที่ไม่ทำงานประจำมีรายได้น้อยกว่าพนักงานประจำประมาณ 53 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือนตามข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ชายหนุ่มในกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะแต่งงานแต่งงานน้อยลง หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นหลายคนให้ข้อมูลว่าความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักเกินไปเป็นอุปสรรคต่อแรงจูงใจในการสานต่อความสัมพันธ์ที่โรแมนติก
แม้ว่าคู่แต่งงานส่วนใหญ่จะมีลูกสองคนขึ้นไป คนหนุ่มสาวจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เลื่อนหรือปฏิเสธการแต่งงานและบทบาทความเป็นพ่อแม่โดยสิ้นเชิง
ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ไม่เคยแต่งงานเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็นเกือบ 30% แม้ว่าประชากรจะมีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม และภายในปี 2035 ผู้ชายหนึ่งในสี่คนจะไม่แต่งงานในช่วงปีที่ควรเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กๆ สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานในช่วงปลายของอายุ 20 และ 30 ยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่ต่อไป
อัตราความบริสุทธิ์และการละเว้นกิจกรรมทางเพศ
ในปี 2015 ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นหนึ่งในสิบคนที่อยู่ในวัย 30 ปีเป็นหญิงพรหมจารี อัตราของผู้หญิงอายุ 18 ถึง 39 ปีที่ไม่มีประสบการณ์ทางเพศอยู่ที่ 24.6 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015 เพิ่มขึ้นจาก 21.7 เปอร์เซ็นต์ในปี 1992 ในทำนองเดียวกันผู้ชายอายุ 18 ถึง 39 ปีที่ไม่มีประสบการณ์ทางเพศคือ 25.8 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 20 เปอร์เซ็นต์ในปี 1992
ผู้ชายที่มีงานที่มั่นคงและมีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะมีกิจกรรมทางเพศมากขึ้น ในขณะที่ผู้ชายที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะมีกิจกรรมทางเพศน้อยกว่า 10 ถึง 20 เท่า ในทางกลับกันผู้หญิงที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะมีเพศสัมพันธ์มากกว่า ผู้ชายที่ว่างงานมีแนวโน้มที่จะขาดประสบการณ์ทางเพศมากกว่าผู้ชายที่ทำงานนอกเวลาหรือทำงานชั่วคราว ซึ่งหมายความว่าการเงินและสถานะทางสังคมมีความสำคัญสำหรับผู้ชายในการหาคู่
จากการสำรวจในปี 2010 พบว่า 61 เปอร์เซ็นต์ของชายโสดชาวญี่ปุ่นในวัย 20 ปีและ 70 เปอร์เซ็นต์ของชายโสดชาวญี่ปุ่นในวัย 30 ปีไม่สนใจที่จะแต่งงานหรือมีคู่รัก